บูร์กาส, บัลแกเรีย, 4 มิถุนายน 2568 /PRNewswire/ -- Sigenergy นำผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากทั่วโลกเกือบ 300 คนมารวมตัวกันที่เมืองบูร์กาส เพื่อสำรวจอนาคตของการกักเก็บพลังงานในภาคพาณิชย์และอุตสาหกรรม (C&I) ไฮไลต์สำคัญของงานนี้เป็นการเยี่ยมชมโครงการระดับแลนด์มาร์กขนาด 20 เมกะวัตต์ชั่วโมงในเมืองมาลโก ทาร์โนโว ซึ่งขับเคลื่อนด้วยระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) แบบโมดูลาร์สำหรับภาค C&I ของ Sigenergy โครงการนี้เน้นให้เห็นถึงความสามารถในการขยายขนาดและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงของเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานรุ่นใหม่
Sigenergy’s 20 MWh Modular C&I Solution in Bulgaria
ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท Trakia MT Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำของบัลแกเรีย ระบบนี้ถูกติดตั้งบนฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ และมาพร้อมกับอินเวอร์เตอร์ไฮบริดของ Sigenergy จำนวน 90 เครื่อง ร่วมกับโซลูชันกักเก็บพลังงานแบบโมดูลาร์ SigenStack
Tony Xu ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Sigenergy ให้ความเห็นว่า "พันธกิจของ Sigenergy คือการเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดทั่วโลกด้วยโซลูชันกักเก็บพลังงานที่เป็นนวัตกรรมใหม่และสามารถปรับขยายขนาดได้ โครงการนี้แสดงให้เห็นรูปแบบที่เทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูงสามารถผลักดันการเติบโตของธุรกิจและการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม"
การออกแบบโมดูลาร์ที่พลิกโฉมการกักเก็บพลังงานสำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
SigenStack ได้เปิดตัวแนวทางกักเก็บพลังงานสำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เป็นแบบโมดูลาร์อย่างแท้จริง โดยแทนที่ระบบแบบตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ด้วยแพ็กแบตเตอรี่ขนาด 12 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่สามารถวางซ้อนกันได้ ระบบนี้มาพร้อมกับขั้วต่อแบบ Plug-and-Play ที่ใช้งานได้ทันทีหลังเชื่อมต่อและติดตั้งโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ จึงช่วยลดความยุ่งยากของการเดินสายไฟและไม่ต้องใช้เครนหรือเครื่องจักรหนักในการติดตั้ง
ด้วยการออกแบบดังกล่าว จึงทำให้สามารถติดตั้งระบบขนาด 20 เมกะวัตต์ชั่วโมงทั้งชุดได้ภายในเวลาเพียง 10 วัน และสามารถผ่านการทดสอบพร้อมใช้งานเต็มระบบได้ภายใน 2 วัน Galina Peycheva-Miteva เจ้าของบริษัท Trakia MT Ltd. กล่าวว่า "การติดตั้งเป็นไปอย่างเหลือเชื่อ ราวกับประกอบบล็อกมากกว่าจะเป็นการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรม การออกแบบแบบโมดูลาร์นี้เป็นจุดเปลี่ยนของวงการกักเก็บพลังงานสำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง"
ความปลอดภัยที่ออกแบบไว้ตั้งแต่ระดับแพ็กแบตเตอรี่
โซลูชัน BESS สำหรับภาค C&I ของ Sigenergy สร้างมาตรฐานใหม่ด้านความปลอดภัยของระบบ โดยหัวใจของนวัตกรรมนี้คือ ระบบ SigenStack ซึ่งออกแบบมาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยในทุกระดับ แต่ละแพ็กแบตเตอรี่ขนาด 12 กิโลวัตต์ชั่วโมงมีระบบป้องกันถึงหกชั้น ได้แก่ เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ หน่วยดับไฟภายใน ฉนวนแอโรเจล (aerogel) วาล์วระบายแรงดัน แผ่นฉนวนทนอุณหภูมิสูง และเครื่องตรวจจับควัน การจัดโครงสร้างลักษณะนี้ช่วยให้สามารถตรวจจับภาวะความร้อนสะสมจนเกินควบคุมในระดับแพ็กแบตเตอรี่ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และสามารถเริ่มตอบสนองแบบเฉพาะจุดได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที
เมื่อเปรียบเทียบกับระบบแบบตู้ที่ใช้งานกันทั่วไปซึ่งมักไม่มีการแยกส่วนภายใน และอาจต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งนาทีในการตอบสนองจึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการลุกลามของไฟ แต่ด้วยการแยกเหตุขัดข้องให้อยู่ในระดับโมดูล SigenStack จึงช่วยเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบและความปลอดภัยในการทำงานได้อย่างมีนัยสำคัญ
แพลตฟอร์มอินเวอร์เตอร์ขั้นสูงยังรวมถึงระบบการป้องกันกระแสย้อนกลับแบบความเร็วสูงในเวลาเพียง 500 มิลลิวินาที และเทคโนโลยีตัดวงจรอาร์กไฟฟ้าระยะไกล (AFCI) ซึ่งสามารถตรวจจับความผิดปกติได้ไกลถึง 500 เมตร
เพื่อยืนยันถึงประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม Sigenergy ได้ร่วมมือกับ Intertek ผู้ให้บริการด้านการรับรองระดับโลก จัดทำเผยแพร่สมุดปกขาวด้านความปลอดภัยสำหรับภาคพาณิชย์และอุตสาหกรรม โดยผลลัพธ์ยืนยันว่าระบบมีความสอดคล้องกับมาตรฐาน UL 9540A และ IEC 62619 โดยสมบูรณ์ มีความมั่นคงของโครงสร้างภายใต้การทดสอบสภาพสุดขั้ว และยังสามารถรักษาประสิทธิภาพการทำงานไว้ได้สูงกว่า 95% อย่างต่อเนื่อง
ความทนทานที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานโดยไม่ต้องบำรุงรักษา
ด้วยการออกแบบแบบโมดูลาร์และความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ระบบ BESS สำหรับภาค C&I ของ Sigenergy รองรับการทำงานอัตโนมัติ 24 ชั่วโมงทุกวัน ด้วยมาตรฐาน IP66 ป้องกันฝุ่นและน้ำ ทำให้ระบบนี้สามารถทำงานได้อย่างมั่นคงในทุกสภาพแวดล้อมอย่างหลากหลาย ในขณะที่ระบบแบบตู้ทั่วไปมักมีส่วนประกอบที่เปราะบางกว่า และจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบทุกเดือน เปลี่ยนอะไหล่ทุกครึ่งปี และต้องทำการบำรุงรักษาแบบครอบคลุมประจำปี
ระบบการติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์มคลาวด์ช่วยให้สามารถมองเห็นสถานะของระบบ ปริมาณพลังงานที่ไหลผ่าน และสัญญาณเตือนได้อย่างครบถ้วนเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ลดความจำเป็นในการตรวจสอบหน้างานลงอย่างมาก งานซ่อมบำรุงก็ง่ายขึ้นเช่นกัน เนื่องจากสามารถถอดเปลี่ยนแพ็กแบตเตอรี่ที่มีปัญหาเป็นรายหน่วยได้ภายในระยะเวลาสองชั่วโมง โดยไม่ต้องวิเคราะห์ระบบทั้งหมดหรือพึ่งพาช่างเทคนิคที่หน้างาน จึงช่วยลดเวลาหยุดทำงานและความยุ่งยากในการจัดหาอะไหล่ ทั้งยังสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานให้เหลือต่ำที่สุด
ความสำเร็จในการส่งมอบโครงการนี้สะท้อนถึงความเป็นเลิศของ Sigenergy ในด้านความเร็วในการติดตั้ง ความปลอดภัย ความเชื่อถือได้ในการดำเนินงาน และบริหารจัดการอย่างอัจฉริยะ ในอนาคต Sigenergy มีความมุ่งมั่นที่จะขยายการดำเนินงานในระดับโลกอย่างต่อเนื่อง และผลักดันให้เกิดการใช้โซลูชันพลังงานที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนยิ่งขึ้นในทุกมุมโลก
แสดงความเห็น