รีไฟแนนซ์บ้าน คู่มือครบจบในที่เดียว พร้อมเทคนิคประหยัดเงินล้าน กับธนาคารกรุงไทย
การผ่อนบ้านนานหลายสิบปีอาจทำให้ดอกเบี้ยรวมสูงจนแตะหลักล้าน แต่คุณสามารถพลิกเกมการเงินให้คุ้มค่าขึ้นได้ด้วยการรีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งเป็นทางเลือกสำคัญในการลดภาระดอกเบี้ยและช่วยให้การผ่อนสบายขึ้น คอนเทนต์นี้จะพาคุณไปรู้จักคู่มือการรีไฟแนนซ์บ้านแบบครบจบในที่เดียว ตั้งแต่ขั้นตอน เอกสารที่ต้องใช้ ไปจนถึงเทคนิคประหยัดเงินล้าน พร้อมเจาะลึกข้อดีของการรีไฟแนนซ์กับธนาคารกรุงไทยที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องดอกเบี้ยและความยืดหยุ่น เพื่อให้คุณวางแผนการเงินระยะยาวได้มั่นคงยิ่งกว่าเดิม
รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร? เข้าใจง่าย ๆ ใน 3 นาที
รีไฟแนนซ์บ้าน คือ การย้ายสินเชื่อบ้านจากสถาบันการเงินเดิมไปยังสถาบันการเงินใหม่ หรือการทำสัญญากู้ใหม่กับเจ้าหนี้เดิม เพื่อเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน เงื่อนไข และระยะเวลาผ่อน โดยมีเป้าหมายหลัก ๆ ดังนี้
- ลดดอกเบี้ย หากสินเชื่อบ้านปัจจุบันมีอัตราดอกเบี้ยสูง แต่ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง สามารถรีไฟแนนซ์เพื่อได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินได้ในระยะยาว
- ลดค่างวดรายเดือน ยืดระยะเวลาผ่อนให้ยาวขึ้น จะทำให้ค่างวดรายเดือนลดลง ช่วยให้มีภาระทางการเงินที่เบาลง แต่จะจ่ายดอกเบี้ยรวมมากขึ้น ตัวอย่าง จากผ่อน 20 ปี ยืดเป็น 30 ปี จะทำให้ค่างวดต่อเดือนลดลง
- ปรับระยะเวลาผ่อนให้สั้นหรือยาวขึ้นตามต้องการ จ่ายดอกเบี้ยรวมน้อยลง แต่ค่างวดรายเดือนเพิ่มขึ้น หรือ ค่างวดรายเดือนลดลง แต่จ่ายดอกเบี้ยรวมมากขึ้น
- รวมหนี้หลายรายการมาเป็นสินเชื่อรายเดียว นำหนี้อื่น ๆ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต มารวมกับสินเชื่อบ้าน จะได้จ่าย ณ อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อบ้านที่ต่ำกว่า และจัดการการเงินได้ง่ายขึ้น
- ขอเงินเพิ่ม (cash-out) เพื่อนำไปใช้จ่ายหรือลงทุน หากบ้านมีมูลค่าเพิ่มขึ้น สามารถกู้เงินเพิ่มจากส่วนต่างของมูลค่าบ้านที่เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปใช้ซ่อมแซมบ้าน ลงทุน หรือใช้จ่ายอื่น ๆ ตัวอย่าง บ้านเดิมมูลค่า 3 ล้าน ปัจจุบันมูลค่า 4 ล้าน สามารถขอเงินเพิ่มจากส่วนต่างได้
เหตุผลที่ควรพิจารณาธนาคารกรุงไทย ในการรีไฟแนนซ์บ้าน
ธนาคารกรุงไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับการรีไฟแนนซ์บ้าน ด้วยสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ที่มาพร้อมดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านปีแรกคงที่ เริ่มต้นเพียง 1.99% ต่อปี และเงื่อนไขพิเศษที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้กู้ในทุกกลุ่ม
จุดเด่นรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารกรุงไทย
- ดอกเบี้ยปีแรกคงที่ เริ่มต้น 1.99% ต่อปี ช่วยลดภาระการผ่อนชำระในช่วงแรก โดยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 4.91% - 5.23% ต่อปี* (ณ วันที่ 15 ส.ค. 68)
- วงเงินกู้สูงสุด 100% ของราคาประเมิน หรือไม่เกินยอดหนี้คงเหลือครั้งนี้ ให้ความยืดหยุ่นในการจัดการหนี้และการเงิน
- ระยะเวลากู้สูงสุดถึง 40 ปี ช่วยลดค่างวดรายเดือน แต่ต้องระวังดอกเบี้ยรวมที่เพิ่มขึ้นจากการผ่อนระยะยาว
- ขั้นตอนอนุมัติรวดเร็ว ธนาคารมีระบบการพิจารณาที่ไว ช่วยให้ผู้สมัครได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว
- บริการครบวงจร ตั้งแต่การประเมินทรัพย์ ติดตามเอกสาร และให้คำปรึกษาตลอดกระบวนการ
- สมัครสะดวก ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
*สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MLR = 6.50% ต่อปี (ณ วันที่ 15 ส.ค. 2568) อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูที่ www.krungthai.com ทั้งนี้เงื่อนไขและหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
เมื่อไหร่ควรรีไฟแนนซ์?
ควรพิจารณารีไฟแนนซ์เมื่อสถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น
- ดอกเบี้ยตลาดลดลงมากกว่า 0.5% เมื่อเทียบกับอัตราที่คุณยังผ่อนอยู่
- เครดิตสกอร์ดีขึ้นหรือสถานะทางการเงินแข็งแรงขึ้น
- รายได้เพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารอนุมัติวงเงินหรือเงื่อนไขดีกว่าเดิม
- ราคาบ้านเพิ่มขึ้น ส่งผลให้วงเงินกู้ (LTV) เพิ่มขึ้นและได้เงื่อนไขที่ดีขึ้น
สถานการณ์ที่ไม่ควรรีไฟแนนซ์
- มีแผนจะขายบ้านใน 3 ปีข้างหน้า เพราะค่าใช้จ่ายรีไฟแนนซ์อาจไม่คุ้ม
- ยอดคงเหลือของสินเชื่อเหลือน้อย ค่าใช้จ่ายจะกินผลประโยชน์ที่ได้
- เครดิตมีปัญหา อาจไม่ได้รับเงื่อนไขที่ดี
- เมื่อตรวจแล้วค่าใช้จ่ายรวมสูงกว่าผลประโยชน์ที่ได้
คำนวณคุ้มทุนอย่างไร? วิธีคิดเพื่อดูว่าคุ้มไหม
- หาค่าใช้จ่ายรวมในการรีไฟแนนซ์ (ค่าธรรมเนียม, ค่าประเมิน, ค่าแจ้งปิดบัญชี, ค่าทนาย, ฯลฯ)
- หาค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่จะลดลง (เงินต้น+ดอกเบี้ย) หลังรีไฟแนนซ์
- หา "จุดคุ้มทุน (Break-even)" = ค่าใช้จ่ายรวม / เงินประหยัดต่อเดือน
ตัวอย่างการคำนวณจริง (แบบประมาณการ)
- สมมติยอดภาระหนี้ของสินเชื่อบ้านคงเหลือ 2,500,000 บาท
- สินเชื่อบ้านปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี
- ต้องการรีไฟแนนซ์เป็นอัตราดอกเบี้ย 3.5% ต่อปี
- ค่าใช้จ่ายรวมในการรีไฟแนนซ์ 50,000 บาท
เงินประหยัดดอกเบี้ยโดยประมาณต่อเดือน = ยอดคงเหลือ × (อัตราเดิม − อัตราใหม่) / 12 = 2,500,000 × (0.055 − 0.035) / 12 ≈ 4,167 บาท/เดือน
จุดคุ้มทุน = 50,000 / 4,167 ≈ 12 เดือน
หมายเหตุ วิธีนี้เป็นการคำนวณคร่าว ๆ (ไม่รวมการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินต้น) แต่ช่วยให้เห็นภาพเร็ว หากต้องการตัวเลขแม่นยำ ใช้เครื่องมือคำนวณยอดสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทยหรือปรึกษาที่สาขาเพื่อทำการคำนวณแบบละเอียด
ข้อดี ข้อเสีย รีไฟแนนซ์บ้าน ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ
ประโยชน์ที่ได้
- ลดภาระดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านและค่างวดรายเดือน
- ปรับระยะเวลาผ่อนให้สั้นลงได้เพื่อลดจำนวนดอกเบี้ยรวม
- รวมภาระหนี้หลายรายการให้สะดวกขึ้น
- อาจได้วงเงินเพิ่มเพื่อนำไปใช้ทำธุรกิจหรือซ่อมบ้าน
ข้อเสียที่ต้องระวัง
- มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้น (ค่าธรรมเนียม ค่าประเมิน ฯลฯ)
- การปรับเพิ่มระยะเวลากู้จะทำให้ดอกเบี้ยรวมมากขึ้น
- หากเลือกอัตราลอยตัว อาจเสี่ยงเมื่อดอกเบี้ยขึ้น
- อาจมีค่าปรับการปิดบัญชีเดิม (ขึ้นกับสัญญาเดิม)
การประเมินความเสี่ยง
- คำนวณจุดคุ้มทุนและระยะเวลาที่คุณคาดว่าจะถือสินเชื่อ
- พิจารณาความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน (คงที่ vs ลอยตัว)
- พิจารณาแผนชีวิตว่าจะขายบ้านหรือเปลี่ยนงานในอนาคตอันใกล้หรือไม่
รีไฟแนนซ์ vs รีเทนชั่น เลือกแบบไหนดี?
รีไฟแนนซ์ = ย้ายหรือทำสัญญาใหม่ ข้อดีคือหาเงื่อนไขที่ดีกว่าจริง ๆ แต่มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้น
รีเทนชั่น (Retention) = ต่อรองหรือขอปรับเงื่อนไขกับธนาคารเดิม เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน ลดค่างวดโดยไม่ต้องย้าย สะดวกและไม่เสียค่าธรรมเนียมเยอะ
เปรียบเทียบ
ถ้าธนาคารเดิมให้เงื่อนไขใกล้เคียงกับคู่แข่งและไม่คิดค่าธรรมเนียมมาก รีเทนชั่นอาจคุ้ม แต่ถ้าคู่แข่งเสนออัตราที่ต่ำกว่ามากและค่าใช้จ่ายรีไฟแนนซ์ไม่สูง รีไฟแนนซ์มักคุ้มกว่า
เทคนิคการเลือก
- ขอข้อเสนอจากทั้งธนาคารเดิมและธนาคารอื่น แล้วคำนวณจุดคุ้มทุน
- นับเวลาที่คุณคิดจะถือสินเชื่อต่อ หากสั้น รีเทนชั่นมักดีกว่า
- หากต้องการเงินเพิ่ม (cash-out) หรือ LTV สูง รีไฟแนนซ์อาจเป็นทางออก
ขั้นตอนรีไฟแนนซ์บ้าน ตั้งแต่เริ่มจนจบ
- เตรียมข้อมูลพื้นฐาน เอกสารส่วนตัว หลักฐานรายได้ สเตทเมนต์ ยอดหนี้ปัจจุบัน โฉนดบ้าน และรายการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
- สำรวจและเปรียบเทียบข้อเสนอ ขอใบเสนออัตราจากหลายธนาคาร รวมถึงข้อเสนอจากธนาคารกรุงไทย
- ยื่นขอและติดตามผลกับสินเชื่อไทอิน ยื่นใบสมัครและเอกสาร ธนาคารจะประเมินเครดิตและมูลค่าทรัพย์
- ปิดสัญญาเดิม-เริ่มสัญญาใหม่ หลังอนุมัติ ธนาคารจะช่วยดำเนินการปิดบัญชีเดิมและจดทะเบียนสัญญาใหม่
เอกสารและเทคนิคผ่านอนุมัติ
- Checklist เอกสารครบชุด (ทั่วไป)
- บัตรประชาชน / ทะเบียนบ้าน
- โฉนดที่ดินหรือหลักฐานการถือครองบ้าน
- สลิปเงินเดือน 3-6 เดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน
- สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน
- ใบแจ้งยอดหนี้ปัจจุบันจากธนาคารเดิม
- เอกสารภาษี (ถ้ามีธุรกิจส่วนตัว) เช่น ภ.พ.20/แบบ ภงด. เป็นต้น
เทคนิคเพิ่มโอกาสผ่าน
- เตรียมเอกสารครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน เพื่อลดเวลาอนุมัติ
- ปรับปรุงเครดิตสกอร์ก่อนยื่นขอ เช่น ชำระหนี้บัตรเครดิตให้ต่ำลง
- ลดภาระหนี้อื่นๆ (DTI) เพื่อให้แนวโน้มการชำระดีขึ้น
- ต่อรองค่าธรรมเนียม และสอบถามโปรโมชันของธนาคารที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายรีไฟแนนซ์
ค่าใช้จ่ายหลักที่ต้องจ่าย
- ค่าประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์
- ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้และการอนุมัติ
- ค่าจดทะเบียนจำนองและค่าธรรมเนียมบุคคล (แต่ธนาคารกรุงไทยมีนโยบายช่วยเหลือตามเงื่อนไข)
- ค่าทนายหรือค่าธรรมเนียมการโอน (ถ้ามี)
ค่าใช้จ่ายซ่อนเร้นที่ต้องระวัง
- ค่าปรับการปิดบัญชีก่อนกำหนดจากธนาคารเดิม
- ค่าใช้จ่ายประกัน (ถ้าเงื่อนไขใหม่จำเป็นต้องทำประกันเพิ่มเติม)
- ค่าธรรมเนียมธนาคารกลางหรือภาษีบางรายการ
เทคนิคลดค่าใช้จ่าย
- เจรจาขอให้ธนาคารออกค่าจดจำนองหรือช่วยบางค่าใช้จ่าย (ธนาคารกรุงไทยมีบริการช่วยเหลือตามโปรโมชั่นและเงื่อนไข)
- เปรียบเทียบข้อเสนอหลายแห่งเพื่อขอส่วนลดค่าธรรมเนียม
- คำนวณจุดคุ้มทุนให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ
รีไฟแนนซ์บ้านเป็นเครื่องมือการเงินที่มีประสิทธิภาพถ้าใช้ให้ถูกจังหวะและคำนวณอย่างรอบคอบ หากอัตราดอกเบี้ยตกและคุณมีสถานะการเงินดี การย้ายมาที่สินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกรุงไทยอาจช่วยลดดอกเบี้ยและค่างวดได้มาก โดยเฉพาะเมื่อธนาคารช่วยออกค่าจดจำนองและมีวงเงิน LTV สูง แต่อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายรวมและจุดคุ้มทุนก่อนตัดสินใจ
ที่มา : บมจ. ธนาคารกรุงไทย
โพสต์ : พีอาร์ นิวส์ ไทยแลนด์
เผยแพร่ : พีอาร์ นิวส์ ไทยแลนด์
แสดงความเห็น